6 มิถุนายน 2557

Red Hood and The Outlaws #1 (2011)

การรวมตัวกันครั้งแรกของอดีตโรบินคนที่สอง เร้ดฮู้ด, 
เจ้าหญิงชาวทามาเรเนี่ยน สตาร์ไฟร์
และอดีตคู่หูของกรีนแอร์โร่ว อาร์เซนอล
กับภารกิจของเหล่าอดีตฮีโร่ที่ใครๆอยากลืม


Red Hood and The Outlaws #1 (2011)
"I Fought The Law And Kick Its Butt!"
เรื่องโดย : Scott Lobdell | ภาพโดย : Kenneth Rocafort

วางจำหน่าย : 21 กันยายน 2011
สำนักพิมพ์ : DC Comics
ผู้สปอยล์ : Red Hood's Outlaw

Jason : (ชื่อของมันคือรอย ฮาร์เปอร์ (Roy Harper) มันน่ะเป็นไอ้โง่ ถึงจะเป็นคนดี แต่โง่เง่า)

Roy : โอ้... แสงแดด พักหลังนานๆเราจะเจอกันที ได้เห็นเนื่องในโอกาสอะไรล่ะนี่
ผู้คุม : เชื่อมั้ยล่ะ มีคนมาเยี่ยมแกด้วยว่ะ

เขามายังประเทศในตะวันออกกลาง คูแรค เพื่อช่วยโค่นล้มผู้นำเผด็จการ แต่กลับกลายเป็นว่า... เซอร์ไพรส์ ผู้คนที่นี่ก็ไม่ได้เลวน้อยไปกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่พวกมันส่งมือปืนรับจ้างพวกนี้มาจับรอยยัดคุกด้วยข้อหาปลอมต่างๆนั่นแหละ

I FOUGHT THE LAW AND KICK ITS BUTT!

ฉันสู้กับกฏหมายและเตะตูดมัน!


(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูรูปขนาดใหญ่)


ผู้มาเยี่ยมรอยคือบาทหลวงผมขาวร่างอ้วน ท่าทางใจดี ในมือมาพร้อมคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนา

ผู้คุม : แกมีเวลาห้านาที สารภาพบาปซะ
Roy : อยากจะเชคแฮนด์อยู่หรอกแต่ต้องใช้สองมือไว้ถ่วงลูกตุ้ม เคยเจอกันเหรอครับ?
Pastor : พ่อชื่อว่าบาทหลวงเบียร์แบค (Beerback) มาจากหน่วยงานนิรโทษกรรมระหว่างประเทศ สภาพแบบนี้พ่อเห็นแล้วสังเวชใจเหลือเกิน! อย่าได้กังวลใจไปเลยลูก พ่อจะส่งหนังสือร้องเรียนต่อกระทรวงการต่างประเทศเอง!
ผู้คุม : เชื่อเถอะ คนแถวนี้หลายคนก็อยากให้ไอ้ฮาร์เปอร์พ้นทุกข์อยู่เหมือนกัน
Pastor : พ่อขอเวลาส่วนตัวครู่หนึ่งเพื่อสวดอธิษฐานจะได้มั้ย?
ผู้คุม : ตราบใดที่อยู่ในที่แจ้ง จะสวดให้ถุงเท้าซ้ายข้าก็เชิญ
Pastor : โถ่ถัง!
Roy : ฟังนะ หลวงพ่อ ผมไม่ได้อยากจะทำเหมือนไม่ซาบซึ้งอะไรนะแต่… แม่เจ้า!

สิ่งที่อยู่ในไบเบิล หาใช่คำสอนของพระเยซูหรือคำสวดไม่ แต่กลับเป็นธนูคู่ใจของรอยนั่นเอง!

Pastor : ถูกเผงเลยลูกเอ๋ย จิตใจอันเปิดกว้างและหนังสือที่เปิดออกจะปลดปล่อยลูกเป็นอิสระ
Roy : นั่นใช่ธนูผมจริงดิหลวงพ่อ
Pastor : ใช่แล้ว
Roy : หลวงพ่อรู้ใช่ป่ะว่านี่มันเป็นอะไรที่เสียสติโคตร
Pastor : เอเมน! ขอจบบทภาวนาด้วยคำสอนจากในคัมภีร์ว่า “ถ้าป๊อดก็กลับบ้านไป!”

หลวงพ่อพูดพร้อมดึงสายด้านในเสื้อคลุมออก ร่างจริงของคนที่อยู่ภายในชุดหลอกปรากฏออกมา!


Roy : (ชื่อของหมอนี่คือเจสัน ทอดด์ (Jason Todd) หลายคนว่าเขาบ้า หลายคนที่ว่านี่ จะบอกว่าทุกคนในโรงพยาบาลบ้าอาร์แคมอไซลัม (Arkham Asylum) ก็ว่าได้ บางทีพวกเขาอาจถูก ผมก็ไม่ใช่คนในสถานะที่จะตัดสินเขาหรือใครๆหรอกนะ แต่จากที่เห็นเขาโผล่ออกมาจากชุดปลอมตัวแบบนั้น ยิงโซ่ตรวนผมร่วง แถมเอาธนูผมมาเป็นของฝากด้วยแล้วน่ะนะ…. ขอบอกว่าบ้าแบบเร้ดฮู้ดนี่ได้ใจผมว่ะ!)

Roy : หวังว่านายคงไม่ได้คิดว่าการช่วยเหลือนี่จะเวิร์คใช่ปะ
Jason : เรียกว่า “ช่วยเหลือ” นี่ถือว่าหรูไปนะ


 ทั้งสองจัดการกับคนในคุกจนหมดก่อนจะระเบิดประตูฝ่าออกมาด้วยปืนและลูกธนู

Roy : บอกฉันทีว่านายไปถล่มแบทแมนแล้วเอากุญแจแบทโมบิล (Batmobile) มา
Jason : ก็ทำนองนั้น… ขึ้นรถ
Roy : (กริบ)
Jason : รอย ฮาร์เปอร์ใบ้กินเลยทีเดียว คุ้มค่าที่ได้มาเห็น

ไม่แปลกที่รอยจะมีเงิบกันบ้าง ก็รถตรงหน้านั่นมันก็แค่รถจี๊ปธรรมดาๆ
ลุยป่าฝ่าทะเลทรายได้ แต่หลังคาไว้กันกระสุนอะไรก็ไม่มี
แต่ถึงสภาพรถจะไกลจากแบทโมบิลอยู่โข แต่รอยก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากอยากจะเดินไป


Roy : สายไปมั้ยถ้าจะบอกว่าอยากได้คุกคืน
Jason : ยิ่งกว่ายินดีถ้าจะอยู่ต่อ
Roy : แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะเร้ด ไหนนายบอกถ้าฉันมาทำงานรับจ้างแล้วจะต้องฉายเดี่ยวไง ยอมรับเหอะ ฮาร์เปอร์และทอดด์ เป็นทีมที่เจ๋งกว่า!
Jason : เหตุผลหนึ่งเดียวที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ฉันจะกลายเป็นอดีตไซด์คิกที่ห่วยที่สุด

Jason : (แรงไปมั้ย?)
Roy : (แรงไป)

Roy : รถถัง!
Jason : อย่าไปพูดถึงดิ
Roy : ไม่ ฉันหมายถึงของจริงเลย! มาข้างหน้าสามคันโน่น! หวังว่านายจะมีแบ็คอัพดีๆนะ
Jason : มีมา 38

Roy : (ผมล่ะงง ใครที่เรารู้จักที่พกปืน 38?)


Roy : (โอ้...)
Jason : (ชื่อของเธอคือสตาร์ไฟร์ (Starfire) เธอไม่ใช่คนแถวนี้หรอก ถ้าจะให้ระบุคือเธอมาจากดาวทามาราน (Tamaran) เกิดมาอย่างเจ้าหญิง แต่โตมาอย่างทาส พวกซิทาเดล (Citadel) เป็นเผ่าพันธุ์เจ้าสงคราม เธอถูกส่งไปเป็นทาสโดยพี่สาว แลกกับสันติและการถูกยึดครอง เพราะงั้นเธอไม่ได้ชอบขี้หน้าพวกทหารนัก ไม่ว่าจะจากโลกไหน เป็นความเกลียดที่เอามาใช้เป็นประโยชน์กับผมในวันนี้ได้)



Roy : เธอเป็นพวกนายเรอะ?
Jason : พวกของเรา ใช่ แต่เธอเป็นคนของฉัน
Roy : ไม่มีทางว่ะ ผู้หญิงสูงศักดิ์อย่างนั้นไม่ลดตัวมาคบกับนายหรอก
Jason : จะว่ายังไงได้ สาวๆชอบฉันนี่หว่า มันเป็นเพราะหมวกแดงน่ะ
Koriand'r : ยังมีอะไรที่ฉันช่วยได้อีกมั้ยเจสัน?
Jason : ถ้าเธอไม่รังเกียจนะ โครี่ ช่วยบินนำไปแล้วกำจัดพวกคนเลวหรือรถถังหรืออย่างอื่นทีสิ
Koriand'r : ได้แน่นอนเลย ไว้เราเจอกันใช่มั้ย?
Jason : รอไม่ไหวเลยล่ะ
Roy : หล่อนไม่หันมาทักฉันซักคำ
Jason : เธอมีเรื่องให้คิดถึงเยอะแล้วน่ะ.... ฉันไง



สามสัปดาห์ต่อมา บนเกาะสวรรค์นามว่า เซนต์มาร์ทินีค (St. Martinique) ที่ซึ่งสตาร์ไฟร์กำลังว่ายน้ำริมชายหาดสบายใจ

Koriand'r : (ฉันรู้ดีว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ บนดาวดวงนี้ ฉันไม่เป็นที่ต้องการที่นี่ ต่างดาวน้อยคนที่เขาจะต้อนรับ)

เด็กชาย : สาวสวยต่างดาวอยู่นี่แล้ว

Koriand'r : (แต่ไหนล่ะทางเลือกของฉัน? อีกอย่าง สองหนุ่มนั่นทำให้ฉันหัวเราะได้ เมื่อฉันแยกพวกเขาออกน่ะนะ)

เด็กชาย : กำลังอัพโหลด อินเตอร์เน็ตจ๋า ฉันมาแล้ว!

ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงโคริแอนเดอร์หรือสตาร์ไฟร์ จะถูกแอบถ่ายรูปแล้วอัพลงเน็ตซะแล้ว!


ทางฝั่งชายหาด สองหนุ่มเจสันและรอยกำลังนั่งเอนหลังคุยกัน มองปริ๊นเซสในชุดบิกินี่ พร้อมเครื่องดื่มในมือราวกับพักร้อน

Roy : ปล่อยให้ฉันนึกว่านายซุกหัวนอนในโรงโอเปร่าเก่าในก็อธแธม (Gotham) ซะได้
Jason : เหอะ ก็อธแธมห่วยว่ะ พวกเสียสติที่อยู่ที่นั่นก็เหมาะกันเองทั้งนั้น แม้แต่พวกตัวร้าย
Roy : นายไม่เสียวสันหลังซักนิดเรอะว่าหล่อนจะรู้เข้า เรื่องที่นายไปทำอะไรกับแฟนเก่าเธอไว้?

แฟนเก่าที่ว่า ก็คือดิ๊ก เกรย์สัน (Dick Grayson) อดีตโรบินและอดีตคนรักของสตาร์ไฟร์ ผู้ซึ่งเคยเป็นคู่กรณีกับเจสันถึงขั้นฆ่าแกงกันนั่นเอง

Jason : นายหมายถึงหลายครั้งที่ฉันพยายามฆ่าเขา และที่เกรย์สันพยายามเสือกไสฉันไปไกลๆมากกว่าครั้งเดียวน่ะเหรอ แย่หน่อยที่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาซักนิด ปรากฏว่าชาวทามาเรเนียน (Tamaraneans) ไม่ได้เห็นมนุษย์มากไปกว่าสิ่งที่จับต้องได้อย่างนึงเลย แถมยังสมาธิสั้นมากเกี่ยวกับทุกสิ่งบนโลก พูดจริงนะ ถ้ามีโอกาสลองถามเธอเกี่ยวกับพวกคนที่เธอเคยสนิทด้วยสิ... เธอไม่มีคำตอบให้หรอก
Roy : น่าสนใจแฮะ
หญิงสาว : เจสัน ขอคุยด้วยหน่อยสิ
Jason : เดี๋ยวฉันกลับมารอย

เจสันเดินตามหญิงสาวชุดดำไปทางบาร์เล็กๆริมหาด ส่วนโครี่เดินไปคุยกับรอย



 Jason : เธอคือคนสุดท้ายที่ฉันคาดว่าจะได้เจออีก มีอะไรเอสเซนส์ (Essence)

หญิงสาวผมขาวที่มาพร้อมเมฆทะมึนบนหัว แต่ดูจะไม่มีใครแปลกใจเลยคนนี้ดูเหมือนจะมีธุระกับเจสัน แถมดูท่าทางจะรู้จักกันเสียด้วย

Essence : มีการฆาตกรรมหลายต่อหลายครั้ง อวัยวะถูกขโมยไปจากร่างที่ยังเป็นๆอยู่
Jason : เอาจริงดิ? เธอมาไกลขนาดนี้เพื่อมาเล่าตำนานหลอกเด็กนี่ให้ฉันฟังน่ะเหรอ?
Essence : เรื่องไม่ใช่แค่นั้น เจสัน
Jason : กับเธอมันไม่ใช่แค่นั้นตลอดแหละ อย่าตกจากไม้กวาดระหว่างทางกลับบ้านล่ะ
Essence : อวัยวะที่หายไปถูกเอาออกนานหลายปีก่อนที่เหยื่อจะตาย และไม่มีร่องรอยผ่าตัดด้วย

ถึงตรงนี้ดูเหมือนเจสันจะเริ่มสนใจในเหตุประหลาดของเอสเซนส์แล้ว และเขาก็รู้ด้วยว่าเป็นฝีมือใคร

Jason : นั่นหมายความได้แค่...
Essence : ใช่ ดิอันไตเติลด์ (The Untitled)



Roy : เธอไม่รู้จักใครที่ชื่อดิ๊กจริงๆเหรอ
Koriand'r : ไม่นี่
Roy : การ์ธ (Garth)? ดัสติน (Dustin)? วิค (Vic)?
Koriand'r : นึกไม่ออก
Roy : ลิลิธ (Lilith)? การ์ (Gar)?
Koriand'r : นายเริ่มทำฉันเบื่อละนะ
Roy : เอ่อ เจสันยืนอยู่นั่นคุยกับตัวเองน่ะ

ทั้งรอยและโครี่ต่างก็มองไม่เห็นเอสเซนส์เลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่าเจสันกำลังพูดอยู่คนเดียว

Koriand'r : และเราก็อยู่ตรงนี้ นายอยากจะมีอะไรกับฉันมั้ย?

เป็นคำถามที่ทำเอารอยสำลักน้ำเลยทีเดียว

Roy : เอิ่ม แต่ เอ่อ ไม่ใช่ว่าเธอ แบบว่าเป็นผู้หญิงของเจสันอะไรทำนองนั้น?
Koriand'r : ไร้สาระ ฉันมีอิสระที่จะทำอะไร เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจฉัน ถ้านายไม่สนใจล่ะก็ ฉันจะ...
Roy : ไม่ ไม่ครับ ยินดีที่ได้รับใช้ แล้วมีอะไรที่ผมควรรู้ก่อนจะเมคเลิฟกับชาวทามาเรเนี่ยนมั้ย?
Koriand'r : รู้แค่ความรักไม่เกี่ยวก็พอ

หนึ่งสาวหนึ่งหนุ่มพากันเดินคู่ไปทางรีสอร์ท ส่วนเจสันไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะโดนเพื่อนคาบ


Jason : ต่อให้สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันซักนิด หรือแม้แต่เธอ ดิอันไตเติลด์เป็นสาเหตุเดียวที่ลัทธิออลคาสท์ (All Caste) ก่อตัวขึ้นหลายศตวรรษก่อน
Essence : ฉันเสียใจที่ต้องบอกว่าภาคีโบราณนั้นไม่ได้อยู่ต่อกรกับพวกมันอีกต่อไป จงดู

เอสเซนส์ปล่อยหยดน้ำลงไปบนโต๊ะ ปรากฏภาพหญิงในเสื้อคลุมลัทธิกำลังนอนเหมือด สภาพไม่จืด

Jason : นั่นหล่อนเหรอ?
Essence : นายก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้วนี่
Jason : นั่นมัน… เป็นไปไม่ได้ ออลคาสท์นั้นไม่มีใครเทียบได้ นอกเสียจากจะเป็นเอเลี่ยนบุกโลก


Jason : ทำไมต้องฉัน? ทำไมเธอไม่แก้ปัญหาซะเอง?
Essence : นายรู้คำตอบดีกว่าใครทั้งนั้น นายก็อยู่ด้วยนี่วันที่ฉันถูกขับไล่จากออลคาสท์ ขอร้องล่ะเจสัน ฉันรู้นายสาบานจะไม่กลับไป แต่ทำเพื่อฉันเถอะนะ
Jason : ก็ได้ แต่ตอบมาก่อนว่าทำไม...

เจสันหันกลับมาอีกที เอสเซนส์ก็หายไปจากตรงนั้นราวกับแบทแมน

Jason : (บ้าชิบ ฉันต้องไปฝึกทำงั้นบ้างซะแล้ว)



ห่างออกไปครึ่งโลก...
ในเมืองชิคาโก้ (Chicago)

(ข้อมูลเข้า)

ชายคนหนึ่งกำลังนั่งดูบางสิ่งบนจอคอมพิวเตอร์ มันคืออัลบั้มรูปของสตาร์ไฟร์ที่เด็กชาวเกาะอัพโหลดไว้ในหน้าโปรไฟล์ของเขานั่นเอง
(boy1211 ---> ดูนี่สิ)

(การแสกนจำแนกรายละเอียดเสร็จเรียบร้อย
การระบุตัวตนและการยืนยันถูกต้อง 100%)

ชายลึกลับ : ชาวทามาเรเนี่ยนบนโลก ในที่สุด



ทางด้านรอยและโครี่หลังจากทำกิจกรรมกันเสร็จจนเกือบจะพังห้องอยู่แล้วก็หลับซบกันไม่รู้เรื่องรู้ราว มีร่องรอยเสียหายเต็มไปหมดตั้งแต่กรอบรูปประดับจนหัวเตียงที่มีรอยไหม้เป็นหย่อมๆ เจสันเมื่อเดินเข้ามาก็ไม่ได้ร่ำลา คว้าเป้กับหมวกแดงประจำตัวก่อนจะเดินออกไป



สิบสองชั่วโมงต่อมา
ในถ้ำที่รวมตัวของออสคาสท์
บางแห่งในจุดสูงสุดของยอดเขาหิมาลัย

เจสันได้พบกับ ดูครา (Ducra) หญิงชราที่เจสันเคารพ และดูเหมือนจะเคยฝึกฝนเจสันในตอนที่อยู่กับออลคาสท์ด้วย

Jason : ผมขอโทษที่ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อคุณ ดูครา ผมขอโทษที่คุณต้องส่งผมไป ผมขอโทษที่ยอมให้คุณทำ…เอ๊ะ

บางอย่างเข้ามารบกวนเจสัน เขาชักปืนออกมาเตรียมตัวพร้อม



Jason : (ในที่สุด มีใครมาให้ยิงซะที)

เจสันถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนท่าทางอย่างกับซอมบี้

โปรดติดตามคำอธิบายต่อไป…



จบเล่ม 1.


***อ่านจบแล้วก็คอมเมนท์กันหน่อยสิเธอว์***


------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกันท้ายเล่ม 
         ตามมาติดๆกับเล่มแรก (ที่แท้จริง) ของทั้งสามคน ต้องขอบอกเลยว่าเล่มนี้แปลไม่ง่ายเลย เพราะบทสนทนาระหว่างเจสันและรอยนั้นออกจะกำกวมมากๆอยู่หลายจุด โดยเล่มนี้นั้นก็ได้ปูทางเนื้อเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มออลคาสท์มา ซึ่งก็เดาได้ว่าเป็นที่ฝึกวิทยายุทธ์ (?) ที่เจสันเคยไปอยู่ รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างรอยและโครี่ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเจสันจะว่ายังไงกับเรื่องนี้ สาเหตุใดออลคาสท์ถึงมีสภาพอย่างที่เห็น ดิอันไตเติลด์มีส่วนยังไง แล้วผู้หญิงเมฆทะมึนเอสเซนส์ซึ่งเป็นตัวละครใหม่จะกลับมาอีกหรือไม่ คงต้องติดตามตอนต่อไป

- Red Hood's Outlaw -

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น