22 พฤษภาคม 2557

X-Men: Days of Future Past ตอนต้น

คอมมิคยุค 80 ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นบทภาพยนต์ X-Men: Days of Future Past
เมื่อโลกอนาคตถูกปกครองโดยหุ่นเซนทิเนลที่เหล่าเอ็กซ์เม็นไม่สามารถต่อกรได้
ทางเดียวที่จะหยุดยั้งโศกนาฎกรรมครั้งนี้ คือหยุดมันซะตั้งแต่ก่อนที่มันจะเริ่ม!!


The Uncanny X-Men
Days of Future Past
เรื่องโดย : Chris Claremont, John Byrne
ภาพโดย : John Byrne, Terry Austin
วางจำหน่าย : 1 มกราคม 1981
สำนักพิมพ์ : Marvel Comics
ผู้สปอยล์ : Musashi

เหตุการณ์เริ่มต้นในศตวรรษที่ 21 เคธ - แคทเธอรีน ไพรด์ (Katherine Pryde) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ คิตตี้ ไพรด์ (Kitty Pryde) กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของนิวยอร์ค

Kate : โลแกน ชั้นหวังว่าคุณจะเลือกส่วนที่ปลอดภัยกว่านี้ของแมนฮัตตันสำหรับการนัดพบของพวกเรา

Kate : ถ้ามันจะยังมีส่วนที่ปลอดภัยของแมนฮัตตันให้นายเลือกอยู่นะน่ะ

(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูรูปขนาดใหญ่)


เคธนัดพบกับวูล์ฟเวอรีน (Wolverine) ในถิ่นของพวกอันธพาลที่เกลียดมนุษย์กลายพันธุ์ เพราะนี่คือที่สุดท้ายบนโลกที่เซนทิเนล (Sentinels) จะคิดว่าเหล่าเอ็กซ์เม็นจะมา แต่ทันใดนั้นเธอก็เดินพลาดตกลงไปในทางลาดชัน และเจอกับพวกกลุ่มนักเลงเข้าพอดี

Kate : พวกแกน่าจะฉลาดพอที่จะปล่อยชั้นไป ชั้นมาทำธุระให้กับเซนทิเนล

อันธพาล A : พวกเราเกลียดเจ้าพวกนั้นพอๆกับที่เราเกลียดพวกกลายพันธุ์นั่นแหละ อ้อนวอนตามที่เธอต้องการเลยที่รัก หวีดร้องตามที่เธอต้องการเลย เพราะถึงจะมีใครได้ยินเสียงเธอ ก็ไม่มีใครมาช่วยเธอหรอก เธอจะค่อยๆตายอย่างช้า ยัยกลายพันธุ์

มัวแต่ฝอยเลยโดนเคธแตะป๊าบเข้าให้ และก่อนที่พวกมันจะได้ทำอะไรเธอ ป๋าวูลฟ์ของเราก็โผล่มาพอดี


ป๋าวูลฟ์อัดกับพวกมันด้วยมือเปล่า เพราะถ้าหากใช้กรงเล็บจะทำให้พวกเซนทิเนลรู้ทันทีว่าเขากลับมาแล้ว (สงสัยเซนทิเนลคงจะมีเซนเซอร์ตรวจจับเวลาพวกกลายพันธุ์ใช้พลังได้ละมั๊ง) เพราะตอนนี้ป๋าไปอยู่กับกองกำลังต่อต้านเซนทิเนลของแคนาดา ก่อนที่ป๋าจะเล่าให้เคธฟังว่าตอนนี้ทั่วโลกพร้อมจะยิงนิวเคลียร์ทันที ถ้าหากเซนทิเนลบุกออกนอกทวีปอเมริกาเหนือ เพราะฉะนั้นชะตากรรมของโลกตอนนี้ขึ้นอยู่กับเอ็กซ์เม็นอีกครั้ง

และก่อนที่จะจากกันป๋าได้ให้ชิ้นส่วนของ "แจมเมอร์" ซึ่งทำจากวัสดุที่เซนเซอร์ของเซนทิเนลไม่สามารถตรวจพบได้ และบอกว่าปฏิบัติการขั้นที่ 2 จะเริ่มตอนเที่ยงคืน เขาจะบุกเข้าไปช่วยพวกเคธออกมา


ในปี 2013 ที่ทวีปอเมริกาเหนือมีการแบ่งชั้นพลเรือนของเป็น 3 ระดับ

"H" สำหรับมนุษย์ธรรมดา-- คนที่ไม่มียีนกลายพันธุ์ อนุญาติให้สืบพันธุ์ได้

"A" สำหรับมนุษย์ที่ผิดปกติ-- คนทั่วไปที่มียีนกลายพันธุ์ ไม่ได้รับอนุญาติสืบพันธุ์

"M" สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ เป็นคนชั้นต่ำที่สุด เป็นพวกนอกคอกและไม่มีใครต้อนรับ จากกฎหมายควบคุมมนุษย์กลายพันธุ์ที่ออกมาในปี 1988 ที่ให้ล่าและฆ่าได้โดยไม่ต้องปราณี



เคธกลับมาที่เขตกักกันมนุษย์กลายพันธุ์และสามารถผ่านการตรวจจากเซนทิเนลเข้าไปได้ โดยระหว่างทางเข้าเราจะเห็นหลุมศพมากมายทั้งของเหล่าเอ็กซ์เม็น (X-Men) และแฟนแทสติคโฟร์ (Fantastic Four) รวมถึงมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นๆอีกมาย (มีหลุมศพใครบ้าง ดูกันเอาเองนะ)

Kate : คนที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นเหยื่อของเซนทิเนล มีบางคนที่ชั้นรู้จัก แต่ส่วนมากไม่-- แต่ไม่ว่าจะยังไง พวกเราทั้งหมดคือครอบครัว

Kate : ยกโทษให้พวกเราด้วย เพื่อนๆของชั้น ที่พวกเราไม่สามารถล้างแค้นให้พวกคุณได้-- เพราะมันจะมีประโยชน์อะไรกับการล้างแค้นเครื่องจักรที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ? แต่อย่างน้อย พวกเราสามารถพยายามทำให้มั่นใจได้ว่าฝันร้ายพวกนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น ไม่แม้แต่จะเริ่มต้น!


ในตอนนั้นสมาชิกทีมเอ็กซ์เม็นที่หลงเหลืออยู่มีเพียง 4 คนเท่านั้น คือ โลแกน หรือ วูล์ฟเวอรีน, เคธ หรือ สไปรท์ (Sprite), โอโรโร่ หรือ สตอร์ม (Storm) และปีเตอร์ รัสปูติน หรือ โคลอสซัส (Colossus) อยู่ร่วมกับแฟรงคลิน ริชาร์ด (Franklin Richards) ลูกชายของรีดและซูซานแห่งแฟนแทสติคโฟร์ กับภรรยาของเขา ราเชล (Rachel) ผู้มีพลังจิต รวมกันเป็นกลุ่มต่อต้านเซนทิเนล เคธบอกทุกคนว่าเธอได้ชิ้นส่วนสุดท้ายของอุปกรณ์ "แจมเมอร์" มาแล้ว แต่โคลอสซัสยังคงไม่มั่นใจว่าแผนการของพวกเขาจะได้ผล

และในตอนนั้นแมกนีโต้ (Magneto) ที่อยู่ในสภาพนั่งรถเข็นก็เข้ามาบอกพวกเขาว่าถ้าหากมันมีทางเลือกอื่นให้ลอง เขาก็จะลอง แต่นี่ไม่มีแล้ว ถ้าไม่ทำซะวันนี้ โลกจะต้องเกิดสงครามระหว่างเซนทิเนลกับมนุษย์แน่ๆ และไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำอาจจะไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นได้สำหรับมนุษยชาติหรือมนุษย์กลายพันธุ์ แต่อย่างน้อยมันก็คงไม่ได้ทำให้อะไรแย่ลงไปกว่านี้แน่ๆ และบอกว่าต้องฝากความหวังไว้กับราเชลแล้ว ซึ่งเธอก็บอกว่าเธอจะไม่ทำพลาดแน่นอน ขอเพียงให้ "แจมเมอร์" สามารถทำงานได้ เธอสามารถเริ่มได้ทันที เคธจึงบอกว่างั้นจะรออะไร แต่โคลอสซัสบอกให้รอก่อน

*สมัยนั้นเคธยังใช้ชื่อฮีโร่ว่า สไปรท์ อยู่ แต่ในปัจจุบันเธอใช้ชื่อว่า ชาโดว์แคท (Shadowcat) แต่คนก็ยังนิยมเรียกเธอว่า คิตตี้ ไพรด์ มากกว่า



เพราะเขาต้องการที่จะบอกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำมันเป็นการเล่นกับความเป็นจริง และถึงแม้จะทำได้สำเร็จ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา และความรักของเขากับเคธ พวกเขาจะหายไปพร้อมกับเซนทิเนลรึเปล่า แม้ว่าเคธจะบอกว่าความรักของคนสองคนจะเทียบอะไรได้กับชีวิตของผู้คนเป็นพันล้าน โคลอสซัสก็บอกว่าเขายอมเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อความรัก เคธจึงบอกว่าถ้าหากความรักของพวกเขามีความหมายอะไรบางอย่าง มันจะต้องเป็นในโลกที่ลูกๆของพวกเขาจะต้องเติบโตได้อย่างอิสระและไม่หวาดกลัว เพราะในโลกแห่งนี้เซนทิเนลได้ฆ่าลูกของพวกเขาไปแล้ว


หลังจากนั้นแฟรงคลินได้ใช้ชิ้นส่วนที่ป๋าวูล์ฟให้มา สร้าง "แจมเมอร์" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้รบกวนการทำงานของปลอกคอที่ใช้ควบคุมพลังกลายพันธุ์ของพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาสามารถใช้พลังได้ตามปกติอีกครั้ง และราเชลก็ให้เคธนอนบนตักเธอ ก่อนจะใช้พลังจิตของเธอทำบางอย่างกับจิตของเคธ



วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 1980

เหล่าเอ็กซ์เม็น สตอร์ม, แองเจิล (Angel), โคลอสซัส และ วูลฟ์เวอรีน กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ในแดนเจอร์รูม (Danger Room) (ห้องที่พวกวูล์ฟเวอรีนใช้ฝึกซ้อมกันในตอนต้นของหนัง X-Men: The Last Stand) แต่จู่ๆ คิตตี้ ไพรด์ ก็เข้ามาระหว่างการฝึกเพื่อบอกว่าไนท์ ครอว์เลอร์ (Knight Crawler) ให้เธอมาบอกว่าเขาติดงานในครัวอยู่ และเธอเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อคเลยคิดว่าการฝึกยังไม่เริ่ม


แองเจิ้ลกลัวว่าเธอจะเป็นอันตรายจึงบอกให้เธอใช้พลังของเธอเดินทะลุกำแพงออกไป แต่คิตตี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาจึงพยายามจะบินไปหาเธอ แต่เขาลืมไปว่าเขาเองก็ยังอยู่ในโปรแกรมการฝึก เมื่อเขาเคลื่อนตัวไปทางไหน คอมพิวเตอร์ก็จะจู่โจมเข้าใส่ทางนั้นด้วย ทำให้อาวุธจำนวนมากพุ่งเข้าใส่คิตตี้ทันที แต่สตอร์มก็ใช้พลังของเธอสร้างพายุหมุนขนาดเล็กพัดเธอหลบไปได้


โคลอสซัสที่วิ่งเข้าไปรับคิตตี้ ปลดพลังของเขาออกเพราะกลัวว่าถ้าใช้ร่างเหล็กของเขารับเธอ แรงกระแทกจะทำให้เธอบาดเจ็บ แต่ทันใดนั้นแดนเจอร์รูมก็จู่โจมเข้าใส่อีกครั้ง และโคลอสซัสที่อยู่ในสภาพปกติคงไม่สามารถต้านการโจมตีนี้ได้ แต่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น ไนท์ครอว์เลอร์ได้เทเลพอร์ตเข้ามาปิดการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้ทันเวลา

Storm : นายไปอยู่ไหนมานะ เคิร์ท ? ชั้นรู้ว่านี่เป็นเวรนายล้างจานของมื้อเช้า แต่นี่ไม่น่าจะทำให้นายมาฝึกสายนะ

Night Crawler : ผมขอโทษ โอโรโร่ ข่าวเช้านี้มีสัมภาษณ์โปรเฟซเซอร์ซาเวียร์เกี่ยวกับปัญหามนุษย์กลายพันธุ์นะ ชั้นเลยดูเพลินไปหน่อย


ไหนๆ คิตตี้ก็เข้ามาในห้องฝึกแล้ว พวกเขาเลยให้คิตตี้ลองเดินผ่านแดนเจอร์รูมดู ซึ่งตอนแรกเธอก็กลัวจนเดินหลับตาปี๋ แต่ด้วยพลังที่ทำให้เธอสามารถทะลุผ่านสิ่งของได้ทุกอย่าง แม้แต่แดนเจอร์รูมที่ใช้ระดับสูงสุดก็ไม่สามารถหยุดเธอได้


และเธอก็เดินผ่านแดนเจอร์รูมได้อย่างง่ายดาย จนโลแกนหัวเราะชอบใจเพราะซาเวียร์ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆ เพื่อตั้งโปรแกรมห้องนี้สำหรับคิตตี้โดยเฉพาะแต่เธอกลับเดินผ่านได้สบายๆ ทั้งที่หลับตาอยู่ด้วยซ้ำ

แต่อยู่ดีๆ คิตตี้ก็ล้มลง!! ไนท์ครอว์เลอร์เทเลพอร์ตเข้าไปดูอาการเธอทันที และพบว่าเธอไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแค่สลบไปเท่านั้น แต่สตอร์มก็ยังไม่วางใจบอกให้เขาพาเธอไปเข้าเครื่องตรวจอย่างละเอียดทันที


ผลการตรวจยังคงไม่พบอะไรผิดปกติ วูล์ฟเวอรีนเปรียบเทียบคลื่นสมองของคิตตี้กับข้อมูลคลื่นสมองของเธอก็พบว่ามันยังคงเป็นรูปแบบพื้นฐานเพียงแต่ซับซ้อนขึ้นเท่านั้น


และคิตตี้ก็ฟื้นขึ้นมา ทันทีที่เธอเห็นไนท์ครอว์เลอร์เธอก็สวมกอดเขาทันที

Kate : เคิร์ท! คุณ! คุณจริงๆ ด้วย! คุณยังไม่ตาย!!


สตอร์มถามว่าคิตตี้เป็นอะไรรึเปล่า เธอจึงบอกว่านานแล้วที่เธอไม่ได้ยินสตอร์มเรียกเธอแบบนั้น แต่เธอไม่ใช่คิตตี้อีกแล้ว เธอคือเคธ ผู้มาจากอนาคตในอีก 30 ปีข้างหน้า และบอกว่าในวันฮัลโลวีนของปี 1980 หรือก็คือวันนี้นี้ วุฒิสมาชิกโรเบิร์ต เคลลี่ (Robert Kelly) รวมทั้งชาร์ล เซเวียร์ และ มอยร่า แมคแทคเกิร์ต (Moira MacTaggert) จะถูกฆ่าโดยกลุ่มภราดรภาพแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ผู้ชั่วร้าย (Brotherhood of Evil Mutants) และเธอต้องการให้ทุกคนไปช่วยพวกเขาที่วอชิงตันทันที

แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจนน่าเหลือเชื่อ (คอมมิคยุค 80 เรื่องการย้อนเวลายังถือเป็นเรื่องใหม่อยู่ ไม่เหมือนยุคนี้ที่นอกจากย้อนเวลากันแล้ว ยังเดินทางข้ามมิติจักรวาลกันอีก หุๆ) แต่สัญชาตญาณของวูล์ฟเวอรีนก็บอกว่าสิ่งที่เคธพูดเป็นเรื่องจริง และสตอร์มก็ไม่คิดที่จะเอาความตายของชาร์ลกับมอยร่ามาเสี่ยง พวกเขาจึงออกเดินทางไปวอชิงตันทันที ด้วยเครื่องบินเจทส่วนตัวของแองเจิล (สงสัยยุคนั้นยังไม่มีแบล็คเบิร์ด (Blackbird) ใช้)


ระหว่างทางเคธก็เล่าให้พวกเขาฟังว่า การที่พวกบราเธอร์ฮู้ดฆ่าวุฒิสมาชิกเคลลี่เพราะหวังที่จะให้มนุษย์หวาดกลัวและเคารพมนุษย์กลายพันธ์ุ กลับกลายเป็นว่าทำให้เกิดความเกลียดชังมนุษย์กลายพันธุ์ขึ้นแทน และในปี 1984 ผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่เกลียดมนุษย์กลายพันธ์อย่างรุนแรงก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและภายในปีนั้นเองที่ได้มีการออกกฎหมายควบคุมมนุษย์กลายพันธ์ฉบับแรกขึ้นมา

มีการสร้างหุ่นเซนทิเนลขึ้นมาอีกครั้งและตั้งโปรแกรมแบบปลายเปิด (Open-Ended Program) ให้กำจัดภัยคุกคามจากมนุษย์กลายพันธ์ ทำให้เซนทิเนลตีความว่าหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำตามคำสั่งนี้คือการที่พวกมันเป็นฝ่ายปกครองประเทศนี้เสียเอง และพวกมันไม่เพียงแค่กำจัดมนุษย์กลายพันธ์เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ที่มีพลังพิเศษทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฮีโร่หรือวายร้าย ทำให้พวกมันควบคุมทวีปอเมริกาเหนือไว้อย่างสมบูรณ์แบบ (เราจะเห็นรูปเหล่าฮีโร่และวายร้ายมากมายที่ตายไปจากการต่อสู้กับเซนทิเนล) ส่วนอื่นๆ ที่เหลือของโลกเริ่มหวาดกลัวเซนทิเนลมากกว่ามนุษย์กลายพันธ์ และขู่ว่าจะก่อสงครามถ้าหากเซนทิเนลเริ่มรุกรานพวกเขา และเธอก็รู้ว่าพวกเซนทิเนลกำลังเตรียมการจะทำแบบนั้นจริงๆ

แต่เพราะหนึ่งในเอ็กซ์เม็นที่รอดชีวิตในอนาคตมีพลังจิต (ราเชล) พวกเขาจึงได้คิดแผนที่จะสลับจิตของใครซักคนในอดีตกับจิตของตัวเองในอนาคต


และเลือกที่จะสลับกับจิตของคิตตี้ ไพรด์ในอดีตเพราะในเวลานั้นเธอเพิ่งจะเข้ามาเป็นสมาชิกเอ็กซ์เม็นและยังไม่ได้รับการฝึกการป้องกันจากการจู่โจมด้วยพลังจิต

ในขณะที่ในโลกอนาคต วูล์ฟเวอรีนบุกเข้าไปช่วยพวกเอ็กซ์เม็นที่เหลือออกมาจากค่ายกักกันได้ ยกเว้นแมกนีโต้ที่เสียสละตัวเองอยู่ถ่วงเวลาให้เพราะในสภาพที่ต้องนั่งรถเข็นเขาคงจะเป็นตัวถ่วงการเดินทางของทีม แต่เซนทิเนลก็ยังตามมาได้ทัน และฆ่าแฟรงคลินทันที


ราเชลที่สูญเสียแฟรงคลินไปใช้พลังจิตของเธอทำลายเซนทิเนลไปได้ แต่อีกด้านนึงพลังสายฟ้าของสตอร์มไม่สามารถทำอะไรเซนทิเนลพวกนี้ได้มากนัก เพราะมันมีฉนวนป้องกันสายฟ้าอยู่ ทำให้โคลอสซัสกับวูล์ฟเวอรีนต้องใช้ท่าไม้ตายประสานของพวกเขา นั่นก็คือ "ฟาสต์บอลสเปเชี่ยล" (Fast Ball Special) ซึ่งจริงๆมันก็แค่ให้โคลอสซัสเหวี่ยงวูล์ฟเวอรีนขึ้นไปนั่นแหละ แต่ด้วยแรงส่งบวกความแข็งแกร่งของกรงเล็บอะดาแมนเที่ยมทำให้เขาสามารถเจาะรูที่หัวของเซนทินเนลได้สำเร็จ


ทำให้สตอร์มส่งพลังสายฟ้าของเธอเข้าไปทำลายวงจรคอมพิวเตอร์ของเซนทิเนลข้างในได้ แต่เซนทิเนลตัวอื่นก็กำลังมาทางพวกเขา โคลอสซัสจึงทำลายฐานของตึกบริเวณนั้นเพื่อให้มันพังลงมาสกัดกั้นเซนทิเนลเอาไว้ ก่อนที่สตอร์มจะบอกจุดหมายปลายทางของพวกเขา นั่นคือตึกแบกซเตอร์ (Baxter Building) ซึ่งตอนนี้กลายเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของเซนทิเนลไปแล้ว



วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 1980 -- วอชิงตัน ดี.ซี.

มิสทีค (Mystique) ผู้นำของเหล่าบราเธอร์ฮู้ดออฟอีวิลมิวแทนต์ซึ่งแฝงตัวเป็นราเวน ดาร์คโฮล์ม (Raven Darkholme) พนักงานคนนึงของเพนตาก้อน (Pentagon) ที่ได้รับความไว้วางใจ ทำให้เธอสามารถพาพวกพ้องเข้ามาหลบซ่อนเตรียมปฏิบัติการได้อย่างง่ายดาย ซึ่งก็ประกอบไปด้วย เดสทินี่ (Destiny) หญิงนักทำนายตาบอดผู้ซึ่งสามารถมองเห็นอนาคตได้และเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มิสทีคเรียกว่า "เพื่อน" อะวาลานเช่ (Avalanche) ผู้มีความสามารถในการทำให้สิ่งต่างๆที่เขาสัมผัสพังทลาย ไพโร (Pyro) ผู้ควบคุมไฟที่มีชีวิต (ที่ออกมาใน X-Men ภาค 2-3 นะแหละ) และ บล็อบ (Blob) ผู้ซึ่งการโจมตีทางฟิสิกส์ไม่สามารถทำอะไรเขาได้


แต่อย่างว่าเมื่อเหล่าร้ายมารวมตัวกันก็มักจะทะเลาะกันเองบ้าง แต่มิสทีคก็ห้ามเอาไว้ได้และบอกให้เตรียมตัวทำตามแผนการที่วางไว้ได้แล้ว


ในสภาวุฒิสมาชิกเคลลี่กำลังพูดถึงปัญหามนุษย์กลายพันธ์อยู่ โปรเฟสเซอร์ซาเวียร์ก็หันไปเห็นสตอร์มที่ปลอมตัวเข้ามาพอดี จึงส่งกระแสจิตไปถามว่าเธอมาทำไม และบอกให้สตอร์มเปิดจิตให้เขาสามารถเข้าไปอ่านความคิดของเธอ


ด้านนักข่าวก็หันไปให้ความสนใจกับแองเจิล หรือ วอร์เรน เวอร์ธิงตัน ที่ 3 (Warren Worthington III) เพราะเขาคือทายาทมหาเศรษฐีและเป็นมนุษย์กลายพันธ์ด้วยนั่นเอง ทางด้านวุฒิสมาชิกเคลลี่ก็กำลังตอบคำถามดอกเตอร์มอยร่าเกี่ยวกับประเด็นมนุษย์กลายพันธุ์ซึ่งเป็นหัวข้อการพิจารณาในครั้งนี้

Moira : ท่านวุฒิสภาค่ะ ด้วยความสัตย์ ดิฉันไม่เห็นความจำเป็นสำหรับการพิจารณาในครั้งนี้ หรือ สำหรับความกังกลของคุณเลย

Kelly : ความจำเป็นนั้นเรียบง่ายมาก ดอกเตอร์แม็คแท็คเกิร์ต ผมเพียงแค่สงสัยว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยผู้มีพลังพิเศษอย่าง ดอกเตอร์ดูม (Doctor Doom)  แมกนีโต้ แฟนแทสติกโฟร์ อะเวนเจอร์ (Avengers) และพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ายังมีอีกเท่าไหร่ --

Kelly : -- และโลกนี้จะยังมีที่ว่างสำหรับมนุษย์ธรรมดาทั้งชายและหญิงอีกหรือเปล่า

Kelly : ผมสงสัยเหมือนกันนะดอกเตอร์ ว่าคำถามเดียวกันนี้พวกนีแอนเดอธัลกลุ่มสุดท้ายเคยถามกับพวกโครมันยองกลุ่มแรกรึเปล่า ?

แต่จู่ๆ กำแพงห้องประชุมก็พังทลายลงมาด้วย และนี่คือพลังของอะวาแลนเช่นั่นเอง


เหล่าบราเธอร์ฮู้ดออฟอีวิลมิวแทนต์ปรากฎตัวออกมาในชุดพร้อมรบ


แต่ก่อนที่บล็อบจะได้เข้าจู่โจมใส่วุฒิสมาชิกเคลลี่ แต่จู่ๆก็มีสายฟ้าฟาดลงมาดักหน้าเขาไว้

Blob : สายฟ้า! ฝีมือใคร ?!?


พร้อมกับการปรากฎตัวของเหล่าเอ็กซ์เม็น!

Colossus : ฝีมือพวกเราไงล่ะ สหายบล็อบ เดอะเอ็กซ์เม็น

Blob : โอ้เย่ ? ยกเว้นเจ้าตัวตลกมีปีกนั่นแล้ว พวกแกไม่ใช่เอ็กซ์เม็นที่ชั้นเคยเจอนี่หว่า

Wolverine : ถูกแล้วเจ้าอ้วน เพราะพวกเราเจ๋งกว่าไง

Storm : ถ้าพวกเธอตั้งใจจะทำร้ายวุฒิสมาชิกเคลลี่ละก็ มิสทีค -- หรือใครก็ตามที่นี่ -- เธอต้องข้ามศพพวกเราไปก่อนล่ะ

Mystique : นั่นสตอร์มนี่ ด้วยความยินดีเลย

Mystique : ฆ่าพวกมันให้หมด!


จบตอนต้น

***อ่านจบแล้วก็คอมเมนท์กันหน่อยสิเธอว์***

------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกันท้ายเล่ม
          สปอยล์ฉลองเนื่องในโอกาสที่ภาพยนต์ X-Men: Days of Future Past เข้าโรงวันแรก ด้วยคอมมิคยุค 80 (ก่อนคนสปอยล์จะเกิดซะอีก) ซึ่งถูกนำมาดัดแปลงเป็นบทภาพยนต์ แต่อาจจะมีรายละเอียดที่ต่างจากในคอมมิคค่อยข้างมาก แต่ที่เห็นได้ชัดๆคือในคอมมิคคนที่เดินทางย้อนเวลาไปคือคิตตี้ ไพรด์ แต่ในภาพยนต์จะเป็นวูล์ฟเวอรีน (ซึ่งเหตุผลที่ให้เป็นป๋าวูล์ฟแทน ก็เพราะว่าใครๆ ก็ชอบฮิวจ์ แจ็คแมนกันนะเซ่!!) โดยเนื้อเรื่องของคอมมิคจะพูดถึงปี 1980 และอนาคตในอีก 33 ปีข้างหน้า คือปี 2013 (แต่กลายเป็นอดีตของเราไปซะแล้ว) ซึ่งผมว่าผู้เขียนเนื้อเรื่องของคอมมิคตอนนี้ก็คงนึกไม่ถึงหรอกว่าผ่านมาอีก 30 ปีในโลกแห่งความจริง X-Men ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบซักที ส่วนในภาพยนต์จะกล่าวถึงอดีดในปี 1973 และอนาคตในปี 2023 แทนครับ และคอมมิคตอนนี้แฟนๆคอมมิคยังโหวตให้เป็นคอมมิคตอนที่ดีที่สุด เป็นอันดับที่ 25 ของมาร์เวลอีกด้วยครับ

          แถมท้ายด้วยโปสเตอร์เท่ๆ ชองภาพยนต์เรื่องนี้

3 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากครับผม อ่านสนุกเพลินๆเลย

    แอบผิดหวังในหนังหลายๆอย่างเลย แต่ก็สนุกดีครับรวมๆ

    ตอบลบ