4 เมษายน 2557

All-New Invaders #1 (2014)

เมื่อเหล่านักรบแห่งยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
แต่คราวนี้ศัตรูของเขาไม่ใช่พวกทหารนาซีหรือฮิตเลอร์
แต่เป็นทหารครีแห่งจักวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอวกาศ การผจญภัยบทใหม่เริ่มขึ้นแล้ว!!



All-New Invaders #1 (2014)
Gods and Soldiers Part One
เรื่องโดย : James Robinson | ภาพโดย : Steve Pugh, Guru Efx
วางจำหน่าย : 22 มกราคม 2014
สำนักพิมพ์ : Marvel Comics

เกริ่นนำ

ท่ามกลางทะเลทรายแห่งหนึ่งซึ่งไม่ระบุว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงใด ปรากฎเป็นเหตุการณ์ที่ทหารครีหกคนเพิ่งปะทะกับชิ'อาร์อิมพีเรียลการ์ดคนนึง แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้ แต่พวกครีก็ล้มตายไปสอง

Kree 1 : เฮ้อ.. ค่อยโล่งอกหน่อยที่จบซักที ชั่วขณะนึงผมคิดว่าเราทั้งหมดจะเป็นเหมือนเนฟดาร์ (Nev-Darr) ผู้น่าสงสารที่นอนอยู่ตรงนั้นซะแล้ว
Kree 2 : ถ้าข้าได้ยินเจ้าพูดแบบนั้นอีกครั้งนะ พลทหาร--พูดจาเหมือนพวกขลาดเขลา-- เจ้าจะได้ไปเจอกับเนฟดาร์อีกเร็วกว่าที่เจ้าคิดแน่ และเจ้าคงตายไปแล้วถ้านายหญิงทานัลธ์ (Tanalth) อยู่ที่นี่
Kree 3 : ท่านครับ เครื่องแสนของผมตรวจพบชิ้นส่วนก็อดวิสเปอร์ (Gods' Whisper) ของราชันย์แห่งท้องทะเลแล้ว
Kree 2 : งั้นก็เอามันมา! ด่วนด้วย! การปฏิบัติการทั้งหมดนี้มันเป็นการละเมิดสนธิสัญญาของสภาอวกาศนะ
Kree 2 : และถ้ามีชิ'อาร์อิมพีเรียลการ์ดคนนึงเจอพวกเราที่นี้ได้ ใครจะไปรู้ว่าอาจจะมีใครโผล่หัวมาอีกก็ได้?!
Kree 3 : ผมได้มันแล้วครับ! อยู่ตรงนี้! มันถูกฝังเอาไว้ไม่ไกลนัก เดอะก็อดวิสเปอร์ (เสียงกระซิบแห่งเทพ) ชิ้นส่วนที่นามอร์ซ่อนเอาไว้
Kree 2 : ดี ถ้างั้นตอนนี้เราก็ออกไปจากดาวเคราะห์ดวงนี้กันได้แล้ว
Kree 4 : ไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับผมครับ ผู้กอง ผมเคยมาที่นี่ตั้งแต่สมัยที่เราสู้กับพวกสกรัลเมื่อนานมาแล้ว

จากบทสนทนาของทหารครี When We Fought The Skrulls A While Ago. มีคำที่น่าสนใจคือ A While Ago ซึ่งมักจะใช้สับสนกับคำว่า Awhile Ago ซึ่งคำทั้งสองมีหลักการใช้ดังนี้ครับ
awhile (adv) = for a short time ช่วงเวลาสั้นๆ
a while (n) = a period of time ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ตัวอย่างประโยคเช่น

I will be out for a while. (ฉันจะออกไปข้างนอกสักพัก)
Please stand here awhile. (โปรดยืนตรงนี้สักครู่)
a while นั้นมักจะใช้เป็นกรรมของ preposition "for" ในขณะที่ awhile จะใช้เป็นกริยาวิเศษณ์ (adverb)

Kree 4 : เพราะฉะนั้นผมไม่มีความทรงจำดีๆอะไรกับโลกหรอก

และปรากฎว่าทะเลทรายแห่งนี้คือทะเลทรายฟาราฟรา (Farafra Desert) ในประเทศอียิปต์นั่นเอง

ทะเลทรายฟาราฟราเป็นทะเลทรายขาว (White Desert) ที่มีชื่อเสียงทางทัศนียภาพอันงดงาม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่ ดูรูปได้ ที่นี่ ครับ

(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูรูปขนาดใหญ่)



เทพเจ้าและทหารหาญ



เบลคตัน อิลินอยส์ สหรัฐอเมริกา

ชายเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ชื่อโรเจอร์ (Roger) ตะโกนเรียกหาช่างประจำอู่ของเขาที่ชื่อ "จิม แฮมมอนด์" และพบว่าจิมมัวแต่ซ่อมรถอยู่จนไม่สนใจเสียงเรียกของเขา เขาจึงบอกให้จิมหยุดทำงานแล้วออกไปหาอะไรกินซะบ้าง แต่จิมยืนยันว่าจะขอซ่อมรถคันนี้ก่อน จนโรเจอร์ต้องใช้สิทธิ์ความเป็นนายจ้างบังคับให้จิมออกไปทานข้าวกลางวัน



ใช่แล้ว ชายผู้นี้คือจิม แฮมมอนด์ (Jim Hammond) หรือที่รู้จักกันในนามว่า เดอะ ออริจินัล ฮิวแมน ทอร์ช (Original Human Torch) นั่นเอง เขาย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ได้ 5-6 เดือนแล้วและจากการพูดคุยกับผู้คนในร้านอาหารแห่งนี้จะเห็นว่าเขาเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในเมืองมากทีเดียว

จิม แฮมมอนด์ ปรากฎตัวครั้งแรกใน Marvel Comics #1 ปี 1939 ทำให้เขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคาแรคเตอร์แรกๆของมาร์เวล และถือเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกของมาร์เวลด้วย



หลังจากกินเพียงกาแฟและพายอีกนิดหน่อย จิมก็ออกจากร้านมาและเดินกลับไปยังอู่ซ่อมรถที่เขาทำงานอยู่และคิดไปพลางๆว่าเขารักเมืองนี้และอยากอยู่ที่นี่ไปนานๆ ถ้าเขาทำตัวไม่ให้สะดุดตานักก็คงไม่มีใครมาตามหาเขาถึงที่นี่แน่ๆ ขณะที่คิดอะไรเพลินๆ เขาก็มาถึงหน้าอู่และพบว่ามันเงียบผิดปกติ

Jim Hammond : โรเจอร์ ? ร้อก ?
Jim Hammond : เฮ้ พวก หยุดล้อเล่นน่า ผมกลับมาแล้ว ผมอยากจะซ่อมรถจี๊ปคันนั้นให้เสร็จก่อนวันนี้นะ และผมต้องการคนมาช่วยติดตั้งปั๊มนะ
Jim Hammond : นี่เราจะเล่นซ่อนหากันหรือไง งั้นคุณต้องไปฝึกอีกเยอะละคู่หู เพราะนายห่วยมากเลยนะเรื่องนี้ ผมมองเห็นเงาคุณใหญ่เท่า--



แต่เงาที่จิมเห็นกลับไม่ใช่โรเจอร์เจ้านายของเขา แต่กลับเป็นนักรบสาวชาวครีที่ยืนอยู่ข้างร่างที่ปราศจากลมหายใจของโรเจอร์

Kree :  อนิจา เจ้าหุ่นยนต์เอ๋ย สหายของเจ้าไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว
Kree :  ชายผู้กล้าหาญ ดื้อด้าน และโง่เขลา... ผู้ปฏิเสธที่จะบอกข้าว่าเจ้าอยู่ที่ไหน

Alas เป็นคำอุทานแสดงความเสียใจ ความสงสาร ความเป็นห่วง ถ้าจะเทียบกับภาษาไทยน่าจะแปลว่า อนิจจา อนิจจัง โธ่ โถ พุทโธ่ อะไรประมาณนี้ครับ

Jim Hammond : ชั้นไม่รู้ว่าแกเป็นใคร-- หรือเป็นตัวอะไร มนุษย์ต่างดาวจิตตก... หรือเป็นคนของนามอร์กันแน่ ถ้าดูจากตัวสีฟ้าๆของแกเนี่ย
Jim Hammond : แต่ทั้งหมดที่ชั้นรู้คือแกต้องชดใช้กับการที่แกฆ่าเพื่อนของชั้น!

Kree :  โอ้ ? ไฟงั้นหรอ ?



แล้วจิมก็ระเบิดพลังไฟของเขาออกมาจนชุดหมีที่ใส่อยู่มอดไหม้ไปในทันที



ทั้งคู่ต่อสู้กันจนทะลุหลังคาอู่ซ่อมรถออกมาและพลังไฟของจิมทำให้แก๊ซที่อยู่ในอู่เกิดระเบิด ส่งผลให้ทั้งคู่กระเด็นมายังถนน



ขณะที่ทั้งคู่ต่อสู้กันชาวเมืองก็ออกมามุงดู และพวกเขาก็จำได้ว่ามนุษย์ไฟคนนี้คือจิม แฮมมอนด์โดยการฟังจากน้ำเสียงของเขานั่นเอง ส่วนจิมก็ถามนักรบสาวชาวครีว่าต้องการอะไรจากเขา

Kree :  ข้าต้องการข้อมูล เจ้าหุ่นยนต์! บางสิ่งที่ความทรงจำของแกหรืออะไรที่ทำสำเนาอยู่ในตัวแกลืมเลือนไปแล้ว
Kree :  และข้าก็มาที่นี่ ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยให้เจ้าระลึกถึงมันได้ยังไงล่ะ

และนักรบสาวชาวครีก็ยิงปืนที่ปล่อยรังสีประหลาดใส่จิมทันที



และมันทำให้จิมเกิดเห็นภาพประหลาดซึ่งเป็นเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเขา บัคกี้ (Bucky Barnes) และนามอร์ (Namor) บุกเข้าไปในฐานของพวกนาซี แต่เขากลับจำไม่ได้เลยว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น และในเหตุการณ์ครั้งนั้นกลับไม่มีเงาของโตโร่ (Toro) คู่หูของเขา รวมทั้งกัปตันอเมริกา (Captain America) ที่น่าจะมาพร้อมกับบัคกี้ด้วย แต่เขากลับพบคนๆนึงที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ได้ยินบัคกี้เรียกว่า เมเจอร์ ลิเบอร์ตี้ (Major Liberty) แต่สิ่งมี่น่ากลัวกว่านั้นคือท่ามกลางกองทัพนาซี มีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่บนแท่นข้างๆ ทหารนาซีคนนึง (รู้สึกหมอนี่จะชื่อสตรัคเกอร์นะ) ที่กำลังออกคำสั่งให้เธอฆ่าพวกของจิมให้หมด และเธอคือเฮล่า (Hela) เทพีแห่งความตายของชาวแอสการ์ด ธิดาแห่งโลกิ!!

เมเจอร์ลิเบอร์ตี้หรือมิสเตอร์ลิเบอร์ตี้เป็นคาแรคเตอร์ฮีโร่ในยุค Golden Age ซึ่งมีพลังสามารถเรียกเหล่าวิญญาณทหารอเมริกันที่ตายไปมาช่วยต่อสู้ได้ อะไรประมารนี้แหละ



เมเจอร์ ลิเบอร์ตี้ผู้มีนิสัยเย่อหยิ่งทรนงและหลงตัวเองไม่แพ้นามอร์ ไม่สนใจคำเตือนของจิมที่ให้รอพวกเขาไปสมทบก่อน แต่กลับบุกเข้าใส่เฮล่าทันที และถูกเฮล่าทำให้กลายเป็นซากมัมมี่แห้งในพริบตา ท่ามกลางความตกตะลึงของจิม บัคกี้ และนามอร์ ก่อนที่ความคิดของจิมจะหยุดลง



Jim Hammond : ธะ.. เธอทำอะไรกับชั้น
Jim Hammond : นั่นเป็นความฝันงั้นเหรอ ? มันไม่ใช่ความจริง.. ชั้นมั่นใจอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เธอใส่เรื่องบ้าบออะไรเข้ามาในหัวชั้นกัน

Tanalth : ให้ข้าอธิบายแล้วกันนะ ง่ายๆ ให้ชัดเจนเลย ข้าชื่อทานัลธ์ (Tanalth) ทานัลธ์ผู้ไล่ล่า และข้าก็ไม่มีเวลามาทำให้เจ้าเชื่อ
Tanalth : แต่ที่เจ้าเห็นมันเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ข้ารับประกันได้ และเครื่องมือที่ทำให้เทพีทำอะไรก็ตามที่เธอถูกสั่ง ข้าอยากจะรู้ว่าไอ้เจ้าของเล่นอันนั้นมันซ่อนอยู่ที่ไหน อีกแค่ชิ้นส่วนเดียวเท่านั้นที่ข้าต้องการ
Tanalth : มันถูกแบ่งออกเป็นสามชิ้น และข้าได้มาสองชิ้นแล้ว ชิ้นที่เจ้านำไปซ่อนคือชิ้นสุดท้าย

Tanalth : และตอนนี้ข้าได้ข้อมูลที่ข้าต้องการมาแล้ว สถานที่ของชิ้นส่วนสุดท้าย ถูกดึงออกมาจากความจิตใต้สำนึกของเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ของชาวครีและส่งต่อไปให้คนของข้าเพื่อไปนำมันมาแล้ว

Jim Hammond : งั้นนั่นนะเหรอ เรื่องทั้งหมด ห๊ะ ? งั้นก็ง่ายๆ ชั้นจะหยุดเธอซะ เธอแล้วก็คนของเธอ

Jim Hammond : เธอดูถูกไฟของชั้นเมื่อกี้ และนั่นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดสำหรับเธอแน่ๆ วันนี้

Jim Hammond : เธอไม่มีทางรู้หรอกว่าชั้นสร้างความร้อนได้ขนาดไหน

ว่าแล้วจิมก็พุ่งใส่ทานัลธ์อีกครั้ง และละลายปืนของเธอด้วยพลังไฟของเขา

Tanalth : ตอนนี้เจ้าสมควรได้รับโทษทัณฑ์แล้ว
Tanalth : ...และทำไมข้าถึงคิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับลงทัณฑ์เจ้า...
Tanalth : คือการมอบความตายให้แก่ผู้คนรอบตัวเจ้ากันนะ

แล้วทานัลธ์ก็ใช้ค้อนของเธอปล่อยพลังแสงเข้าใส่รูปปั้นม้าจนฐานพังทลายและล้มลงใส่ชาวเมืองคนหนึ่งทันที

Jim Hammond : ไม่! ต้องไม่มีใครตายอีก ชั้นไม่สามารถจะ..



จิมสามารถพุ่งเข้าไปรับชายคนนั้นได้ทันก่อนที่รูปปั้นม้าจะล้มลงมาทับเขา โดยจิมปลดพลังไฟออกครึ่งนึงในซีกที่ร่างกายใช้อุ้มชายคนนั้น และใช้พลังไฟจากร่างกายอีกซีกหนึ่งปล่อยใส่ทานัลธ์ทันที



แต่ทานัลธ์กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย และปล่อยพลังจากค้อนของเธอสวนกลับไปทันที

Tanalth : ไฟ ? ร้อนขึ้น-- ใช่ อาจจะนะ
Tanalth : แต่นั่นคือทั้งหมดที่เจ้ามีแล้วจริงๆใช่มั๊ย ?

Jim Hammond : ไป! หนีไปให้ไกล

จิมที่บอกให้ชาวเมืองที่เขาช่วยไว้หนีไปจึงรับพลังของทานัลธ์เข้าเต็มๆจนกระเด็นไปไกล



"แข็งแกร่งเกินไป สำหรับชั้น.. ทรงพลังเกินไป"
"ชั้นไม่ใช้นักสู้แบบที่ชั้นคิดว่าชั้นเป็นอีกแล้ว"

"บางทีชั้นอาจจะไม่เคยเป็นเลยก็ได้"

"แค่คิดจะขยับยังไม่ได้เลย"

"แขนชั้น"

Tanalth : เจ้าเครื่องยนต์ที่โง่เขลาและน่าเศร้า ข้าได้ทำลายเจ้าเสียแล้ว
Tanalth : และตอนนี้ข้าได้สิ่งที่ข้าต้องการจากเจ้าแล้ว เจ้าไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
Tanalth : ไม่มีอะไรที่ต้องทำอีกนอกจากทำลายหลักฐานว่าข้าเคยมาที่นี่ซะ เจ้า...
Tanalth : ...และทุกชีวิตในสถานที่โง่ๆนี้



แต่ก่อนที่ทานัลธ์จะปลดปล่อยพลังจากค้อนของเธอเพื่อจัดการกับจิม ก็มีคนปาโล่ใบหนึ่งที่เราคุ้นเคยเข้าใส่เธอจนอาวุธหลุดจากมือ

??? : ถอยห่างจากชายคนนั้นซะ! แกได้ยินชั้นมั๊ย?!
??? : ถอยออกมา!



และเขาก็คือกัปตันอเมริกาและคู่หูตลอดกาลบัคกี้ บานส์ หรือ วินเทอร์ โซลเยอร์ (Winter Soldier) นั่นเอง

Captain America : ไม่ต้องห่วง จิม
Bucky : พวกเรามาช่วยนายแล้ว

We've got your back ที่บัคกี้พูด ไม่ได้แปลว่า เราได้หลังนายแล้ว (อุ๊ย!) แต่เป็นสำนวนที่ใช้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยคนที่พูดว่า I Got Your Back. หมายถึงว่าเขาอาสาจะคอยดูแลปกป้องผู้ที่ถูกพูดถึงนั่นเอง ส่วนสำนวนหนึ่งที่ใช้แทนกันได้คือ I’ve Got Your 6 o’clock. หรือพูดสั้นๆว่า I’ve Got Your Six. มีที่มาจากกัปตันเครื่องบินที่บอกทิศทางโดยอาศัยเข็มนาฬิกา ถ้าเข็มนาฬิกาบอกเวลา 12 นาฬิกา ก็เป็นการเดินไปข้างหน้า ถ้าเป็น 6 นาฬิกาก็อยู่ข้างหลัง เป็นการบอกให้ระวังว่า Someone’s At Your Six นอกจากนี้ก็ยังมี I’ve Got You Covered. และ I’m backing you up. ที่มีความหมายทำนองเดียวกัน



ฮัลลา ดาวของพวกครี
นามอร์ถูกซูพรีมอินเทลลิเจินซ์ (Supreme Intelligence) ผู้นำของพวกครีจับตัวไว้!!



จบเล่ม 1.

***อ่านจบแล้วก็คอมเมนท์กันหน่อยสิเธอว์***

------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกันท้ายเล่ม
          ตอนที่ผมได้รู้จักประวัติของ The Invaders ครั้งแรกนี่ผมค่อนข้าประทับใจมากเลยทีเดียว และงงเลยว่า เฮ้ย! นามอร์แม่งเคยร่วมทีมกับแคปเราะ ? แถมได้รู้ว่านามอร์นี่เคยเป็นหนึ่งในคาแรคเตอร์ทำเงินให้มาร์เวลในยุคสงครามโลกก็แทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้เกรียนที่ผมหมั่นไส้ชิบหายตอนครั้งแรกที่อ่านคอมมิค (ตอนนั้นคืออีเวนต์ Avengers vs X-Men ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน จิ้ม เลยจ๊ะ) แม่งเคยฮิตขนาดนั้น แล้วพอศึกษาประวัติคอมมิคเข้าไป ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วคอมมิคยุคนั้นยังไม่มีการครอสโอเวอร์ (Crossover) คือไม่มีการเอาฮีโร่จากหัวนึง ไปเจอกับฮีโร่อีกหัวนึง และรู้สึกว่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกคือเดอะ ออริจินัล ฮิวแมน ทอร์ช (ซึ่งตอนนั้นชื่อฮิวแมนทอร์ชเฉยๆ) ข้ามมาเจอกับ นามอร์ (ตอนนั้นนิยมเรียกว่าซับมารีนเนอร์มากกว่า) นี่ล่ะ ส่วนทีมเดอะอินเวเดอร์นี้ จริงๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไม่มีทีมพวกนี้ แต่เกิดจากหน้าปกของ All Select Comics ในปี 1943 ของอเล็กซ์ ซอมเบิร์ก (Alex Schomburg) ที่วาดให้ Big 3 (กัปตันอเมริกา, ฮิวแมนทอร์ช, ซับมารีนเนอร์) มาขึ้นหน้าปกร่วมกันต่อสู้กับนาซี แต่ในคอมมิคทั้งสามไม่ได้ข้ามเรื่องมาสู้ร่วมกันแบบในหน้าปก จนมาถึงปี 1975 ที่รอย โธมัส (Roy thomas) ซึ่งประทับใจกับหน้าปกเหล่านั้นได้เข้ามาเป็นบรรณาธิการบริหารของมาร์เวลได้เปิดซีรีย์ใหม่ในชื่อ The Invaders โดยเล่าย้อนไปสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้ง และนำกัปตันอเมริกา ฮิวแมนทอร์ช ซับมารีนเนอร์ รวมทั้งมีบัคกี้และโทโร่เป็นผู้ช่วยมารวมตัวกันเป็นทีมต่อต้านนาซี

          ฝอยมาซะเยอะ สำหรับเนื้อหาในเล่มนี้ก็เดินเรื่องได้รวดเร็วทันใจ ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่สปอยล์เพราะกลัวจะไม่มีเวลา แต่พออ่านไปได้ 3 เล่มก็เห็นว่าสนุกดี แล้วเห็นกัปตันอเมริกา 2 เข้าโรงแล้วก็เลยถือโอกาสนี้หยิบซีรีย์นี้มาสปอยล์ซะเลย หวังว่าเพื่อนๆคงชอบกันนะครับ

3 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณที่หา มาให้อ่านครับ

    เป็นกำลังใจให้ทำต่อครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ29 มีนาคม 2559 เวลา 19:51

    สนุกมากครับ จะติดตามเรื่อยๆครับผม เข้ามาอ่านทุกวันเลยครับ

    ตอบลบ